วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

1. ระบบเครือข่ายไร้สาย คืออะไรจงอธิบายภาพโดยรวมระบบเครือข่ายไร้สาย


ระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless LAN : WLAN) หมายถึง เทคโนโลยีที่ช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง หรือกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกันได้ ร่วมถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน โดยปราศจากการใช้สายสัญญาณในการเชื่อมต่อ แต่จะใช้คลื่นวิทยุเป็นช่องทางการสื่อสารแทน การรับส่งข้อมูลระหว่างกันจะผ่านอากาศ ทำให้ไม่ต้องเดินสายสัญญาณ และติดตั้งใช้งานได้สะดวกขึ้น ระบบเครือข่ายไร้สายใช้แม่เหล็กไฟฟ้าผ่านอากาศ เพื่อรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่าย โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้อาจเป็นคลื่นวิทย (Radio) หรืออินฟาเรด (Infrared) ก็ได้

2. จงอธิบายรายรายละเอียดของมาตรฐาน IEEE802.11g


มาตราฐาน IEEE802.11g มาตราฐานนี้เป็นมาตราฐานใหม่ที่ความถี่ 2.4 GHz โดยสามารถรับส่งข้อมูลที่ความเร็ว 36 - 54 Mbps ซึ่งเป็นความเร็วที่สูงกว่ามาตราฐาน 802.11b ซึ่ง 802.11g สามารถปรับระดับความเร็วในการสื่อสารลงเหลือ 2 Mbps ได้ (ตามสภาพแวดล้อมของเครือข่ายที่ใช้งาน) มาตราฐานนี้เป็นที่ยอมรับจากผู้ใช้เป็นจำนวนมากและกำลังจะเข้ามาแทนที่ 802.11b ในอนาคตอันใกล้ นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นนี้มีบางผลิตภัณฑ์ใช้เทคโนโลยีเฉพาะตัวเข้ามาเสริมทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นจาก 54 Mbps เป็น 108 Mbps แต่ต้องทำงานร่วมกันเฉพาะอุปกรณ์ที่ผลิตจากบริษัทเดียวกันเท่านั้น ซึ่งความสามารถนี้เกิดจากชิป (Chip) กระจายสัญญาณของตัวอุปกรณ์ที่ผู้ผลิตบางรายสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรับส่งสัญญาณเป็น 2 เท่าของการรับส่งสัญญาณได้ แต่ปัญหาของการกระจายสัญญาณนี้จะมีผลทำให้อุปกรณ์ไร้สายในมาตราฐาน 802.11b มีประสิทธิภาพลดลงด้วยเช่นกัน ด้านล่างเป็นตารางมาตราฐาน IEEE802.11 ของเครือข่ายไร้สาย

3. จงเปรียบเทียบเครือข่ายไร้สายมาตรฐาน IEEE802.11a และ IEEE802.11b


• มาตราฐาน IEEE802.11a เป็นมาตราฐานระบบเครือข่ายไร้สายที่มีประสิทธิภาพสูง ทำงานที่ย่านความถี่ 5 GHz มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ 54 Mbps ที่ความเร็วนี้สามารถทำการแพร่ภาพและข่าวสารที่ต้องการความละเอียดสูงได้ อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสามารถปรับระดับให้ช้าลงได้ เพื่อเพิ่มระยะทางการเชื่อมต่อให้มากขึ้น เช่น 54, 48, 36, 24 และ 11 เมกกะบิตเป็นต้น ในขณะที่คลื่นความถี่ 5 GHz นี้ยังไม่ได้ใช้งานอย่างแพร่หลาย ดังนั้นปัญหาการรบกวนคลื่นความถี่จึงมีน้อย ต่างจากคลื่นความถี่ 2.4 GHz ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายทำให้สัญญาณของคลื่นความถี่ 2.4 GHz ถูกรบกวนจากอุปกรณ์ประเภทอื่นที่ใช้คลื่นความถี่เดียวกันได้ ระยะทางการเชื่อมต่อประมาณ 300 ฟิตจากจุดกระจายสัญญาณ Access Point หากเทียบกับมาตราฐาน 802.11b แล้ว ระยะทางจะได้น้อยกว่า 802.11b ที่คลื่นความถี่ต่ำกว่า และทั้ง 2 มาตราฐานนี้ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ขณะที่ประเทศไทยไม่อนุญาติให้ใช้คลื่นความถี่ 5 GHz จึงไม่เห็นอุปกรณ์ WLAN มาตราฐาน 802.11a จำหน่ายในประเทศไทย แต่ความเร็ว 54 Mbps สามารถใช้งานได้ที่มาตราฐาน 802.11b ที่จะกล่าวถึงต่อไป • มาตราฐาน IEEE802.11b 802.11b เป็นมาตราฐานที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งต่างประเทศและในประเทศไทย เป็นมาตราฐาน WLAN ที่ทำงานที่คลื่นความถี่ 2.4 GHz (คลื่นความถี่นี้สามารถใช้งานในประเทศไทยได้) มีความสามารถในการรับส่งข้อมูลที่ความเร็ว 11 Mbps ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อุปกรณ์เครือข่ายไร้สายภายใต้มาตราฐานนี้ถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญแต่ละผลิดภัณฑ์มีความสามารถทำงานร่วมกันได้ อุปกรณ์ของผู้ผลิตทุกยี่ห้อต้องผ่านการตรวจสอบจากสถาบัน Wi-Fi Alliance เพื่อตรวจสอบมาตราฐานของอุปกรณ์และความเข้ากันได้ของแต่ละผู้ผลิต ปัจจุบันนี้นิยมนำอุปกรณ์ WLAN ที่มาตราฐาน 802.11b ไปใช้ในองค์กรธุรกิจ สถาบันการศึกษา สถานที่สาธารณะ และกำลังแพร่เข้าสู่สถานที่พักอาศัยมากขึ้น มาตราฐานนี้มีระบบเข้ารหัสข้อมูลแบบ WEP ที่ 128 บิต

4. ISM band คืออะไรจงอธิบาย


ISM ย่อมาจาก Industrial Sciences Medicine หรือคลื่นความถี่สาธารณะสำหรับอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ และการแพทย์ โดยย่านความถี่สำหรับคลื่นวิทยุในโลกนี้ จัดได้ว่ามีการควบคุมการเป็นเจ้าของหรือใช้งาน ซึ่งงานวิจัยสำหรับการขอคลื่นความถี่มาใช้งานทำได้ค่อนข้างยาก จึงมีการตั้ง ISM band นี้ขึ้นมาสำหรับการวิจัยโดยเฉพาะ โดยแบ่งเป็นสามย่านความถี่ คือ 900 เมกะเฮิรตซ์, 2.4 กิกะเฮิรตซ์ และ 5.7 กิกะเฮิรตซ์ สำหรับ Wireless Network 802.11 จะใช้สองย่านความถี่หลัง แต่เนื่องจากความถี่ 5.7 กิกะเฮิรตซ์ นั้น มีการยอมให้ใช้ได้เฉพาะบางประเทศเท่านั้น (ส่วนที่เหลืออาจจะถูกจัดสรรไปให้กับองค์กรต่างๆ ก่อนจะมีการประกาศ ISM Band ออกมา) ทำให้มาตรฐาน a ไม่สามารถใช้งานได้ในประเทศบางประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย เราจึงใช้งานได้เฉพาะ 802.11b และ g เท่านั้น (การพัฒนามาตรฐาน g ก็มาจากเหตุผลนี้เช่นกัน)

5. Architecture (Topology โทโพโลยี) ของ WLAN มีอะไรบ้างอธิบายโดยละเอียด

ระบบเครือข่ายไร้สาย (WLAN= Wireless Local Area Network) คือระบบการสื่อสารข้อมูลที่นำมาใช้ทดแทน หรือเพิ่มต่อกับระบบเครือข่ายแลนใช้สายแบบดั้งเดิมโดยใช้การส่งคลื่นความถี่วิทยุในย่านวิทยุ RF และคลื่นอินฟราเรดในการรับและส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องผ่านทางอากาศ ทะลุกำแพง เพดาน หรือสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ โดยปราศจากความต้องการของการเดินสาย และนอกจากนั้นระบบเครือข่ายไร้สายก็ยังมีคุณสมบัติครอบคลุมทุกอย่างเหมือนกับระบบแลนใช้สาย และที่สำคัญก็คือการที่มันไม่ต้องใช้สาย ทำให้การเคลื่อนย้ายการใช้งานทำได้โดยสะดวก ไม่เหมือนระบบแลนแบบใช้สายที่ต้องใช้เวลา และการลงทุนในการปรับเปลี่ยนตำแหน่งการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์

1. รูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่ายไร้สายPeer-to-Peer (ad hoc mode) รูปแบบการเชื่อมต่อแลนไร้สายแบบ Peer to Peer เป็นการเชื่อมต่อแบบโครงข่ายโดยตรงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องนั้นจะมีความเท่าเทียมกัน สามารถทำงานของตนเองได้ และขอใช้บริการเครื่องอื่นได้ จึงเหมาะสำหรับนำมาใช้งานเพื่อจุดประสงค์ด้านความรวดเร็ว หรือติดตั้งได้โดยง่ายเมื่อไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับ
ตัวอย่างเช่น ในศูนย์ประชุมหรือการประชุมที่จัดนอกสถานที่

2. Client/Server (Infrastructure mode) ระบบเครือข่ายไร้สายแบบ Client/Server (Infrastructure mode) มีลักษณะการรับส่งข้อมูลโดยอาศัย Access Point (AP) หรือเรียกว่า "Hot Spot" ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างระบบเครือข่ายแบบใช้สาย กับคอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Client) โดยจะกระจายสัญญาณคลื่นวิทยุเพื่อรับ-ส่งข้อมูลเป็นรัศมีโดยรอบ ซึ่ง AP 1 จุด สามารถให้บริการเครื่องลูกข่ายได้ถึง 15-50 อุปกรณ์ เหมาะสำหรับการนำไปขยายเครือข่าย หรือใช้ร่วมกับระบบเครือข่ายแบบใช้สายเดิมใน Office ห้องสมุด หรือในห้องประชุม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้น
3. Multiple access points and roaming เป็นการเพิ่มจุดการติดตั้ง AP ให้มากขึ้น เพื่อให้การรับส่งสัญญาณในบริเวณของเครือข่ายขนาดใหญ่เป็นไปอย่างครอบคลุมทั่วถึง


4. Use of an Extension Pointมีคุณสมบัติเหมือนกับ Access Point แต่ไม่ต้องผูกติดไว้กับ
เครือข่ายไร้สาย

The Use of Directional Antennasระบบแลนไร้สายแบบนี้เป็นแบบใช้เสาอากาศในการรับส่งสัญญาณระหว่างอาคารที่อยู่ห่างกัน โดยการติดตั้งเสาอากาศที่แต่ละอาคาร เพื่อส่งและรับสัญญาณระหว่างกัน

6. จงอธิบายความหมาย BSS , ESS ,Access point ถึงหน้าที่และส่วนที่เกี่ยวข้อง


โดยทั่วไปแล้วอุปกรณ์ในเครือข่าย IEEE 802.11 WLAN จะเชื่อมต่อกันในลักษณะของโหมด Infrastructure ซึ่งเป็นโหมดที่อนุญาตให้อุปกรณ์ภายใน WLAN สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นได้ ในโหมด Infrastructure นี้เครือข่าย IEEE 802.11 WLAN จะประกอบไปด้วยอุปกรณ์ 2 ประเภทได้แก่ สถานีผู้ใช้ (Client Station) ซึ่งก็คืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Desktop, Laptop, หรือ PDA ต่างๆ) ที่มีอุปกรณ์ Client Adapter เพื่อใช้รับส่งข้อมูลผ่าน IEEE 802.11 WLAN และสถานีแม่ข่าย (Access Point) ซึ่งทำหน้าที่ต่อเชื่อมสถานีผู้ใช้เข้ากับเครือข่ายอื่น (ซึ่งโดยปกติจะเป็นเครือข่าย IEEE 802.3 Ethernet LAN) การทำงานในโหมด Infrastructure มีพื้นฐานมาจากระบบเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ กล่าวคือสถานีผู้ใช้จะสามารถรับส่งข้อมูลโดยตรงกับสถานีแม่ข่ายที่ให้บริการแก่สถานีผู้ใช้นั้นอยู่เท่านั้น ส่วนสถานีแม่ข่ายจะทำหน้าที่ส่งต่อ (forward) ข้อมูลที่ได้รับจากสถานีผู้ใช้ไปยังจุดหมายปลายทางหรือส่งต่อข้อมูลที่ได้รับจากเครือข่ายอื่นมายังสถานีผู้ใช้
Basic Service Set (BSS) หมายถึงบริเวณของเครือข่าย IEEE 802.11 WLAN ที่มีสถานีแม่ข่าย 1 สถานี ซึ่งสถานีผู้ใช้ภายในขอบเขตของ BSS นี้ทุกสถานีจะต้องสื่อสารข้อมูลผ่านสถานีแม่ข่ายดังกล่าวเท่านั้น
Extended Service Set (ESS) หมายถึงบริเวณของเครือข่าย IEEE 802.11 WLAN ที่ประกอบด้วย BSS มากกว่า 1 BSS ซึ่งได้รับการเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน สถานีผู้ใช้สามารถเคลื่อนย้ายจาก BSS หนึ่งไปอยู่ในอีก BSS หนึ่งได้โดย BSS เหล่านี้จะทำการ Roaming หรือติดต่อสื่อสารกันเพื่อทำการโอนย้ายการให้บริการสำหรับสถานีผู้ใช้ดังกล่าว

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

1 Router คืออะไร


Router เป็นอุปกรณ์ที่ซับซ้อนกว่า Bridge โดยทำงานเสมือนเป็นเครื่องหรือ node หนึ่งใน LAN ซึ่งจะทำหน้าที่รับข้อมูลเข้ามาแล้วส่งต่อไปยังปลายทาง โดยอาจส่งในรูปแบบของ packet ที่ต่างออกไป เพื่อไปผ่านสายสัญญาณแบบอื่นๆ เช่น สายโทรศัพท์ที่ต่อผ่านโมเด็มก็ได้ ดังนั้นจึงอาจใช้ Router ในการเชื่อมต่อ LAN หลายแบบเข้าด้วยกันผ่าน WAN ได้ด้วย และเนื่องจากการที่มันทำตัวเสมือนเป็น node หนึ่งใน LAN นี้ยังทำให้มันสามารถทำงานอื่นๆได้อีกมาก เช่น รวบรวมข้อมูลเพื่อหาเส้นทางที่ดที่สุดในการส่งข้อมูลต่อหรือตรวจสอบข้อมูลที่เข้ามานั้นมาจากไหน ควรจะให้ผ่านหรือไม่ เพื่อช่วยในเรื่องการรักษาความปลอดภัยด้วย

2 อธิบายการทำงานของ Router

สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง Bridge กับ Router คือ Bridge ทำงานในระดับ Data Link Layer คือจะใช้ข้อมูล station address ในการทำงานส่งข้อมูลไปยังที่ใดๆ ซึ่งหมายเลข station address นี้มีการกำหนดมาจากฮาร์ดแวร์หรือที่ส่วนของ Network Interface Card (NIC) และถูกกำหนดมาเฉพาะตัวจากโรงงานไม่ให้ซ้ำกัน ถ้ามีการเปลี่ยน NIC นี้ไป ก็จำทำให้ station address เปลี่ยนไปด้วย ส่วน Network Layer address ในกการส่งผ่านข้อมูลโปรโตคอลของเครือข่ายชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น IPX, TCP/IP หรือ AppleTalk ซึ่งจะเป็นโปรโตคอลที่ทำงานใน Network Layer การกำหนด Network address ทำได้โดยผู้ดูแลระบบเครือข่ายนั้น ทำให้สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ง่าย และสามารถใช้อุปกรณ์ Router เชื่อมโยงเครือข่ายที่แยกจากกันให้สามารถส่งผ่านข้อมูลร่วมกันได้และทำให้เครือข่ายขยายออกไปได้เรื่อยๆหน้าที่หลักของ Router คือการหาเส้นทางในการส่งผ่านข้อมูลที่ดีที่สุด และเป็นตัวกลางในการส่งต่อข้อมูลไปยังเครือข่ายอื่น ทั้งนี้ Router สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายที่ใช้สื่อสัญญาณหลายแบบแตกต่างกันได้ไม่ว่าจะเป็น Ethernet, Token Rink หรือ FDDI ทั้งๆที่ในแต่ละระบบจะมี packet เป็นรูปแบบของตนเองซึ่งแตกต่างกัน โดยโปรโตคอลที่ทำงานในระดับบนหรือ Layer 3 ขึ้นไปเช่น IP, IPX หรือ AppleTalk เมื่อมีการส่งข้อมูลก็จะบรรจุข้อมูลนั้นเป็น packet ในรูปแบบของ Layer 2 คือ Data Link Layer เมื่อ Router ได้รับข้อมูลมาก็จะตรวจดูใน packet เพื่อจะทราบว่าใช้โปรโตคอลแบบใด จากนั้นก็จะตรวจดูเส้นทางส่งข้อมูลจากตาราง Routing Table ว่าจะต้องส่งข้อมูลนี้ไปยังเครือข่ายใดจึงจะต่อไปถึงปลายทางได้ แล้วจึงบรรจุข้อมูลลงเป็น packet ของ Data Link Layer ที่ถูกต้องอีกครั้ง เพื่อส่งต่อไปยังเครือข่ายปลายทาง

3 Routing Protocol คืออะไร


Routing Protocol คือโพรโทคอลที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน routing table ระหว่างอุปกรณ์เครือข่ายต่างๆที่ทำงานในระดับ Network Layer (Layer 3) เช่น Router เพื่อให้อุปกรณ์เหล่านี้สามารถส่งข้อมูล (IP packet) ไปยังคอมพิวเตอร์ปลายทางได้อย่างถูกต้อง โดยที่ผู้ดูแลเครือข่ายไม่ต้องแก้ไขข้อมูล routing table ของอุปกรณ์ต่างๆตลอดเวลา เรียกว่าการทำงานของ Routing Protocol ทำให้เกิดการใช้งาน dynamic routing ต่อระบบเครือข่าย

4 อธิบายการเลือกเส้นทางแบบ static และ dynamic


Address แบบ static และแบบ dynamic แตกต่างกันอย่างไร
IP address แบบ static เกิดขึ้นเมื่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแจก IP address ให้กับผู้ใช้แต่ละคนอย่างถาวร ทำให้ address เหล่านี้จะไม่เปลี่ยนเปลงไม่ว่าจะใช้งานไปนานเท่าใด อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการแจก


IP address แบบ static ไปให้ผู้ใช้แล้ว IP address นั้นไม่ได้ถูกใช้งาน จะทำให้สูญเสีย IP address นั้นไปโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแต่ละรายมีจำนวน IP address ที่ให้ใช้งานอยู่จำกัด จึงจำเป็นจะต้องทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน IP address


IP address แบบ dynamic เป็นวิธีที่ทำให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตใช้ประโยชน์จาก IP address ที่มีได้ประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากระบบ IP address แบบ dynamic นี้จะทำให้ IP address ของเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้แต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลา ถ้าหาก address ใดไม่ถูกใช้งานก็จะสามารถนำไปแจกต่อให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นที่ต้องการใช้งานต่อไปได้

5 อธิบายการโปรโตคอลเลือกเส้นทางแบบ Distance Vector และ Link State

1.Distance Vector Routing Protocol เป็น Protocol ที่ ใช้ ระยะทาง hop count ในการคำนวณเส้นทาง เช่น RIP ,IGRP
2. Link State Routing Protocol ใช้ algorithm ในการวาด topology ขึ้นมา แล้วนำมาควณเส้นทางที่ดีที่สุด เช่น OSPF, IS-IS

6. อธิบายการทำงานของ Routing Information Prtocol (RIP)


RIP คือ Protocol gateway แบบภายในชนิดหนึ่งที่เหมาะกับองค์กรที่มี Network ขนาดเล็ก ซึ่งเป็น Routing Protocol ขนาดเล็กที่ใช้หา distance-vector ของการ routing โดยใช้ broadcast ที่เป็น User Datagram Protocol (UDP) เป็นตัวช่วยในการเก็บข้อมูลในการเปลี่ยน ข้อมูลของ Routing
** RIP นั้นจะเป็น Routing Protocol ที่ Support โดย IP Base image เท่านั้น หากเป็นตัวอื่น จะต้องมีการเรียกใช้ Stack master เพื่อใช้ในการ Run IP Service images.
ในการใช้ RIP นั้น Switch จะทำการส่ง information ที่ update ทุกๆ 30 วินาที โดยหาหาก Router ไม่มีการ Receive ข้อมูลที่ Update 180 วินาที หรือมากกว่านั้น Router ตัวนั้นจะถูก Mark ให้เป็น Router ที่ Unusable แต่ถ้าหลังจากนั้น 240 วินาที Router ตัวนั้นก็จะถูก Remove ออกจาก Routing table ทำให้กลายเป็น non-updating router

7 อธิบายหลักการทำงานของ Open Shortest Path First (OSPE)

Open Shortest Path First (OSPF) OSPF (Open Shortest Path First) เป็นโปรโตคอล router ใช้ภายในเครือระบบอัตโนมัติที่นิยมใช้ Routing Information Protocol แลโปรโตคอล router ที่เก่ากว่าที่มีการติดตั้งในระบบเครือข่าย OSPF ได้รับการออแบบโดย Internet Engineering Task Force (IETF) เหมือนกับ RIP ในฐานะของ interior gateway protocol การใช้ OSPF จะทำให้ host ที่ให้การเปลี่ยนไปยังตาราง routing หรือปกป้องการเปลี่ยนในเครือข่ายทันที multicast สารสนเทศไปยัง host ในเครือข่าย เพื่อทำให้มีสารสนเทศในตาราง routing เดียวกัน แต่ต่างจาก RIP เมื่อตาราง routing มีการส่ง host ใช้ OSPF ส่งเฉพาะส่วนที่มีการเปลี่ยน ในขณะที่ RIP ตาราง routing มีการส่ง host ใกล้เคียงทุก 30 วินาที OSPE จะ multicast สารสนเทศที่ปรับปรุงเฉพาะ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น OSPF ไม่ใช้การนับจำนวนของ hop แต่ใช้เส้นทางตามรายละเอียด “line state” ที่เป็นส่วนสำคัญเพิ่มขึ้น ในสารสนเทศของเครือข่าย OSPF ให้ผู้ใช้กำหนด cost metric เพื่อให้ host ของ router กำหนดเส้นทางที่พอใจ OSPF สนับสนุน subnet mask ของเครือข่าย ทำให้เครือข่ายสามารถแบ่งย่อยลงไป RIP สนับสนุนภายใน OSPF สำหรับ router-to-end ของสถานีการสื่อสาร เนื่องจากเครือข่ายจำนวนมากใช้ RIP ผู้ผลิต router มีแนวโน้มสนับสนุน RIP ส่วนการออกแบบหลักคือ OSPF

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บริดจ์ (Bridge) เราเตอร์ (Router) และสวิตช์ (Switch)

เมื่อต้องการเชื่อมเครือข่ายย่อย ๆ หลาย เครือข่ายเข้าด้วยกัน จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ประกอบที่ทำให้การรับส่งข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เชื่อมโยงถึง โดยทั่วไปเรามักใช้ระบบ การรับส่งข้อมูลเป็นชุดเล็ก ๆ ที่เรียกว่า "แพ็กเก็ต" (Packet) ข้อมูลเป็นแพ็กเก็ต สามารถเคลื่อนที่จากต้นทางไปยังปลายทางได้ โดยผ่านอุปกรณ์เลือกเส้นทาง การเลือกเส้นทางสามารถเลือกผ่านทั้งทางด้านเครือข่าย LAN และ WAN โดยปกติมีการกำหนดแอดเดรสของตัวรับและตัวส่ง ดังนั้น จึงต้องมีแอดเดรสปรากฎอยู่ในแพ็คเก็ต อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อในเครือข่ายทุกหน่วยจึงมีแอดเดรสกำกับแอดเดรสหรือตำแหน่งที่อยู่มีรูปแบบที่ชัดเจน ได้รับการกำหนดเป็นมาตรฐาน เช่น แอดเดรสที่ใช้ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ใช้รหัสตัวเลข 32 บิต ที่เรียกว่า "ไอพีแอดเดรส" (IP Address) แพ็กเก็ตข้อมูลทุกแพ็กเก็ตจึงมีข้อมูลที่บ่งบอกว่าเป็นข้อมูลที่ส่งมาจากที่ใด และ ปลายทางอยู่ที่ใด การเลือกเส้นทาง..จึงขึ้นอยู่กับแอดเดรสที่กำหนดในแพ็กเก็ต เมื่อแพ็กเก็ตข้อมูลผ่านมายังอุปกรณ์ต่าง ๆ อุปกรณ์เหล่านั้นจะตรวจสอบดูว่า แอดเดรสต้นทางและ ปลายทางอยู่ที่ใด จะส่งผ่านแพ็กเก็ตนั้นไปยังเส้นทางใด เพื่อให้ถึงจุดหมายตามต้องการ
อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมโยงเครือข่าย และทำหน้าที่ในการรับส่งข้อมูลระหว่างเครือข่ายมีหลายประเภทด้วยกัน อุปกรณ์แต่ละชนิดมีขีดความสามารถแตกต่างกันออกไป อุปกรณ์ที่นิยมใช้ในการเชื่อมโยงเครือข่ายหลักทั้ง
LAN และ WAN ประกอบด้วย บริดจ์ (Bridge) เราเตอร์ (Router) และสวิตช์ (Switch)

บริดจ์ (Bridge)
บริดจ์ เป็นอุปกรณ์เชื่อมโยงเครือข่ายของเครือข่ายที่แยกจากกัน แต่เดิมบริดจ์ได้รับการออกแบบมาให้ใช้กับเครือข่ายประเภทเดียวกัน เช่น ใช้เชื่อมโยงระหว่างอีเทอร์เน็ตกับ อีเทอร์เน็ต (Ethernet) บริดจ์มีใช้มานานแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 บริดจ์จึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างสองเครือข่าย การติดต่อภายในเครือข่ายเดียวกันมีลักษณะการส่ง ข้อมูลแบบกระจาย (Broadcasting) ดังนั้น จึงกระจายได้เฉพาะเครือข่ายเดียวกันเท่านั้น การรับส่งภายในเครือข่ายมีข้อกำหนดให้แพ็กเก็ตที่ส่งกระจายไปยังตัวรับได้ทุกตัว แต่ถ้ามีการส่งมาที่แอดเดรสต่างเครือข่าย บริดจ์จะนำข้อมูลเฉพาะแพ็กเก็ตนั้นส่งให้ บริดจ์จึงเป็นเสมือนตัวแบ่งแยกข้อมูล ระหว่างเครือข่ายให้มีการสื่อสารภายในเครือข่าย ของตน ไม่ปะปนไปยังอีกเครือข่ายหนึ่ง เพื่อลดปัญหาปริมาณข้อมูลกระจายในสายสื่อสารมากเกินไป ในระยะหลังมีผู้พัฒนาบริดจ์ให้เชื่อมโยงเครือข่ายต่างชนิดกันได้ เช่น อีเทอร์เน็ตกับโทเก็นริง เป็นต้น หากมีการเชื่อมต่อเครือข่ายมากกว่าสองเครือข่ายเข้าด้วยกัน และเครือข่ายที่เชื่อมมีลักษณะหลากหลาย ซึ่งเป็นทั้งเครือข่ายแบบ LAN และ WAN อุปกรณ์ที่นิยมใช้ในการเชื่อมโยงคือ เราเตอร์ (Router)
เราเตอร์ (Router)
เราเตอร์จะรับข้อมูลเป็นแพ็กเก็ตเข้ามาตรวจสอบแอดเดรสปลายทาง จากนั้นนำมาเปรียบเทียบกับตารางเส้นทางที่ได้รับการโปรแกรมไว้ เพื่อหาเส้นทางที่ส่งต่อ หากเส้นทาง ที่ส่งมาจากอีเทอร์เน็ต และส่งต่อออกช่องทางของ Port WAN ที่เป็นแบบจุดไปจุด ก็จะมีการปรับปรุงรูปแบบสัญญาณให้เข้ากับมาตรฐานใหม่ เพื่อส่งไปยังเครือข่าย WAN ได้
ปัจจุบันอุปกรณ์เราเตอร์ได้รับการพัฒนาไปมากทำให้การใช้งานเราเตอร์มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเชื่อมอุปกรณ์เราเตอร์หลาย ๆ ตัวเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ เราเตอร์สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการหาเส้นทางเดินที่สั้นที่สุด เลือกตามความเหมาะสมและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเองได้
เมื่อเทคโนโลยีทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ได้รับการพัฒนาให้มีขีดความสามารถในการทำงานได้เร็วขึ้น จึงมีผู้พัฒนาอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่คัดแยกแพ็กเก็ต หรือเรียกว่า "สวิตช์แพ็กเก็ต ข้อมูล" (Data Switched Packet) โดยลดระยะเวลาการตรวจสอบแอดเดรสลงไป การคัดแยกจะกระทำในระดับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ เชิงความเร็วและความแม่นยำสูงสุด อุปกรณ์สวิตช์ข้อมูลจึงมีเวลาหน่วงภายในตัวสวิตช์ต่ำมาก จึงสามารถนำมาประยุกต์กับงานที่ต้องการเวลาจริง เช่น การส่งสัญญาณเสียง วิดีโอ ได้ดี
สวิตช์ (Switch)
อุปกรณ์สวิตช์มีหลายแบบ หากแบ่งกลุ่มข้อมูลเป็นแพ็กเก็ตเล็ก ๆ และเรียกใหม่ว่า "เซล" (Cell) กลายเป็น "เซลสวิตช์" (Cell Switch) หรือที่รู้จักกันในนาม "เอทีเอ็มสวิตช์" (ATM Switch) ถ้าสวิตช์ข้อมูลในระดับเฟรมของอีเทอร์เน็ต ก็เรียกว่า "อีเทอร์เน็ตสวิตช์" (Ethernet Switch) และถ้าสวิตช์ตามมาตรฐานเฟรมข้อมูลที่เป็นกลาง และ สามารถนำข้อมูลอื่นมาประกอบภายในได้ก็เรียกว่า "เฟรมรีเลย์" (Frame Relay)
อุปกรณ์สวิตชิ่งจึงเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ และมีแนวโน้มที่จะพัฒนาให้ใช้กับความเร็วของการรับส่งข้อมูลจำนวนมาก เช่น เฟรมรีเลย์ (Frame Relay) และเอทีเอ็ม สวิตช์ (ATM Switch) สามารถสวิตช์ข้อมูลขนาดหลายร้อยล้านบิตต่อวินาทีได้ เทคโนโลยีนี้จึงเป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยม
การออกแบบและจัดรูปแบบเครือข่ายองค์กรที่เป็น "อินทราเน็ต" ซึ่งเชื่อมโยงได้ทั้งระบบ LAN และ WAN
จึงต้องอาศัยอุปกรณ์เชื่อมโยงต่าง ๆ เหล่านี้ อุปกรณ์เชื่อมโยง ทั้งหมดนี้รองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อได้หลากหลายรูปแบบ เช่น จากเครือข่ายพื้นฐานเป็นอีเทอร์เน็ต ก็สามารถเชื่อมเข้าสู่ ATM Switch, Frame Relay, or Bridge, Router ได้ ทำให้ขนาดของเครือข่ายมีขนาดใหญ่ขึ้น

เกตเวย์ (Gateway)


เกตเวย์เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่างประเภทเข้าด้วยกัน เช่น การใช้เกตเวย์ในการเชื่อมต่อเครือข่าย ที่เป็นคอมพิวเตอร์ประเภทพีซี (PC) เข้ากับคอมพิวเตอร์ประเภทแมคอินทอช (MAC) เป็นต้น

เราท์เตอร์


เราท์เตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระบบเครือข่ายหลายระบบเข้าด้วยกัน คล้ายกับบริดจ์ แต่มีส่วนการ ทำงานที่ซับซ้อนมากกว่าบริดจ์มาก โดยเราท์เตอร์จะมีเส้นทางการเชื่อมโยงระหว่าง แต่ละเครือข่ายเก็บไว้เป็นตารางเส้นทาง เรียกว่า Routing Table ทำให้เราท์เตอร์สามารถทำหน้าที่จัดหาเส้นทางและเลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในการเดินทาง เพื่อการติดต่อระหว่างเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การคอนฟิกเราเตอร์ Cisco ขั้นพื้นฐาน

การเชื่อมต่อแบบ Point to Point โดยมีจำนวน Site เป็น 2 sites ทำ Routing เป็นแบบ Static และ encapsulation เป็น pppสมมุติว่าเรามีจำนวน site เป็น 2 site และมีการเชื่อมต่อดังรูปที่ 1 โดยกำหนดค่า ip เป็นดังนี้

-Wan IP : เป็น 192.168.0.0/30 นั่นคือจะมี ip ในกลุ่มนี้ทั้งหมดเป็น 4 ip คือ 192.168.0.0 - 192.168.0.3 แต่ไอพี 192.168.0.0 เป็น network ip และ ไอพี 192.168.0.3 เป็น broadcast ip ซึ่งนำมาใช้งานปกติไม่ได้ จึงเหลือไอพีที่ใช้งานทั่วไปได้ 2 ip คือ 192.168.0.1 ซึ่งกำหนดให้เป็นไอพีของ serial port (s0) ของ router A และอีกไอพีคือ 192.168.0.2 ซึ่งกำหนดให้เป็นไอพีของ serial port (s0) ของ router B ดังรูปที่ 1
-Lan IP ด้าน A : ในที่นี้กำหนดเป็น 192.168.11.0/24 นั่นคือจะมีไอพีใช้งานเป็นหนึ่ง class c คือ 254 ip (ไม่นับ network ip และ broadcast ip) คือ 192.168.11.1 - 192.168.11.254 โดยในที่นี้กำหนดให้ไอพี 192.168.11.1 เป็นไอพีของ ethernet port (e0) ของ router A และไอพีสำหรับเครื่องพีซีกำหนดให้ใช้ตั้งแต่ 192.168.11.11 เป็นต้นไป ดังรูปที่ 1
-Lan IP ด้าน B : ในที่นี้กำหนดเป็น 192.168.12.0/24 นั่นคือจะมีไอพีใช้งานเป็นหนึ่ง class c เช่นกัน คือ 254 ip (ไม่นับ network ip และ broadcast ip) คือ 192.168.12.1 - 192.168.12.254 โดยในที่นี้กำหนดให้ไอพี 192.168.12.1 เป็นไอพีของ ethernet port (e0) ของ router B และไอพีสำหรับเครื่องพีซีกำหนดให้ใช้ตั้งแต่ 192.168.12.11 เป็นต้นไป ดังรูปที่ 1


วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การใช้คำสั่งเพื่อเชื่อมต่อ Router

คำสั่ง

access-enable เป็นการสร้าง Access List entry ชั่วคราว
clear เป็นการ reset ค่า configure ต่างๆที่ท่านสร้างขึ้นชั่วคราว
connect ใช้เพื่อ เปิด connection กับ terminal
disable ปิดหรือยกเลิกคำสั่งที่อยู่ใน Privileged mode
disconnect ยกเลิกการเชื่อมต่อใดๆกับ network
enable เข้าสู่ privileged Exec mode
exit ออกจากการใช้ User Exec mode
help ใช้เพื่อแสดงรายการ help
lat เปิดการเชื่อมต่อกับ LAT (เครือข่าย VAX)
lock ใช้เพื่อ lock terminal
login
login เข้ามาเป็น user
logout exit ออกจาก EXEC
mrinfo ใช้เพื่อการร้องขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Version และสถานะของ Router เพื่อนบ้านจาก multicast router ตัวหนึ่ง
mstat แสดงสถิติหลังจากที่ได้ตามรอยเส้นทางแบบ Multicast ของ Router แล้ว
mtrace ใช้ติดตามดู เส้นทาง Multicast แบบย้อนกลับจาก ปลายทางย้อนกลับมาที่ต้นทาง
name-connection เป็นการให้ชื่อกับ การเชื่อมต่อของเครือข่ายที่กำลังดำเนินอยู่
pad เปิดการเชื่อมต่อ X.25 ด้วย X.29 PAD
Ping ใช้เพื่อทดสอบการเชื่อมต่อ
ppp ใช้เรียกการเชื่อมต่อแบบ PPP
resume ใช้เพื่อการ กลับเข้าสู่การเชื่อมต่อของเครือข่ายอีกครั้ง
rlogin เปิดการเชื่อมต่อ remote Login กับ Server ระยะไกล
show แสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการทำงานของ Router ในปัจจุบัน
slip เริ่มการใช้งาน Slip (serial line protocol)
systat เป็นการแสดงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ Terminal Line เช่นสถานะของระบบ
telnet เป็นการเปิด การเชื่อมต่อทาง Telnet
terminal เป็นการจัด Parameter ของ Terminal Line
traceroute เป็นการใช้ Traceroute เพื่อการติดตามไปดู ระบบที่อยู่ปลายทาง
tunnel เปิดการเชื่อมต่อแบบ Tunnel
where แสดงรายการ ของ Link ที่กำลัง Active ในปัจจุบัน

การคอนฟิกเราเตอร์ Cisco ขั้นพื้นฐาน

กรณีที่ 1 การเชื่อมต่อแบบ Point to Point โดยมีจำนวน Site เป็น 2 sites ทำ Routing เป็นแบบ Static และ encapsulation เป็น pppสมมุติว่าเรามีจำนวน site เป็น 2 site และมีการเชื่อมต่อดังรูปที่ 1 โดยกำหนดค่า ip เป็นดังนี้
-Wan IP : เป็น 192.168.0.0/30 นั่นคือจะมี ip ในกลุ่มนี้ทั้งหมดเป็น 4 ip คือ

192.168.0.0 - 192.168.0.3 แต่ไอพี 192.168.0.0 เป็น network ip และ ไอ
พี 192.168.0.3 เป็น broadcast ip ซึ่งนำมาใช้งานปกติไม่ได้ จึงเหลือไอพีที่ใช้งานทั่วไป
ได้ 2 ip คือ 192.168.0.1 ซึ่งกำหนดให้เป็นไอพีของ serial port (s0) ของ
router A และอีกไอพีคือ 192.168.0.2 ซึ่งกำหนดให้เป็นไอพีของ serial port
(s0) ของ router B
-Lan IP ด้าน A : ในที่นี้กำหนดเป็น 192.168.11.0/24 นั่นคือจะมีไอพีใช้งานเป็นหนึ่ง class

c คือ 254 ip (ไม่นับ network ip และ broadcast ip) คือ 192.168.11.1 -
192.168.11.254 โดยในที่นี้กำหนดให้ไอพี 192.168.11.1 เป็นไอพีของ ethernet
port (e0) ของ router A และไอพีสำหรับเครื่องพีซีกำหนดให้ใช้ตั้งแต่
192.168.11.11 เป็นต้นไป
-Lan IP ด้าน B : ในที่นี้กำหนดเป็น 192.168.12.0/24 นั่นคือจะมีไอพีใช้งานเป็นหนึ่ง

class c เช่นกัน คือ 254 ip (ไม่นับ network ip และ broadcast ip) คือ
192.168.12.1 - 192.168.12.254 โดยในที่นี้กำหนดให้ไอพี 192.168.12.1
เป็น ไอพีของ ethernet port (e0) ของ router B และไอพีสำหรับเครื่องพีซีกำหนด
ให้ใช้ตั้งแต่ 192.168.12.11 เป็นต้นไป

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2552

Well Know port (Datacom)

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ Port

สำหรับพวก Application ในชั้น layer สูงๆ ที่ใช้ TCP (Transmission Control Protocol) หรือ UDP (User Datagram Protocol) จะมีหมายเลข Port หมายเลขของ Port จะเป็นเลข 16 bit เริ่มตั้งแต่ 0 ถึง 65535 หมายเลข Port ใช้สำหรับตัดสินว่า service ใดที่ต้องการเรียกใช้ ในทางทฤษฎี หมายเลข Port แต่ละหมายเลขถูกเลือกสำหรับ service ใดๆ ขึ้นอยู่กับ OS (operating system) ที่ใช้ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่ได้มีกำหนดขึ้นให้ใช้ค่อนข้างเป็นมาตรฐานเพื่อให้มีการติดต่อการส่งข้อมูลที่ดีขึ้น ทาง Internet Assigned Numbers Authority (IANA) เป็นหน่วยงานกลางในการประสานการเลือกใช้ Port ว่า Port หมายเลขใดควรเหมาะสำหรับ Service ใด และได้กำหนดใน Request For Comments (RFC') 1700 ตัวอย่างเช่น เลือกใช้ TCP Port หมายเลข 23 กับ Service Telnet และเลือกใช้ UDP Port หมายเลข 69 สำหรับ Service Trivial File transfer Protocol (TFTP) ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นบางส่วนของ File/etc/services แสดงให้เห็นว่า หมายเลข Port แต่ละหมายเลขได้ถูกจับคู่กับ Transport Protocol หนึ่งหรือสอง Protocol ซึ่งหมายความว่า UPP หรือ TCP อาจจะใช้ หมายเลข Port เดียวกันก็ได้ เนื่องจากเป็น Protocol ที่ต่างกัน

หมายเลข Port ถูกจัดแบ่งเป็น 2 ประเภท ตามที่ได้กำหนดใน RFC' 1700
คือ well known Ports และ Registered Ports

- Well Known Ports คือจะเป็น Port ที่ระบบส่วนใหญ่ กำหนดให้ใช้โดย Privileged User (ผู้ใช้ที่มีสิทธิพิเศษ) โดย port เหล่านี้ ใช้สำหรับการติดต่อระหว่างเครื่องที่มีระบบเวลาที่ยาวนาน วัตถุประสงค์เพื่อให้ service แก่ผู้ใช้ (ที่ไม่รู้จักหรือคุ้นเคย) แปลกหน้า จึงจำเป็นต้องกำหนด Port ติดต่อสำหรับ Service นั้นๆ

- Registered Ports จะเป็น Port หมายเลข 1024 ขึ้นไป ซึ่ง IANA ไม่ได้กำหนดไว้

ตัวอย่างการใช้ Port
แต่ละ Transport layer segment จะมีส่วนย่อยที่ประกอบไปด้วยหมายเลข Port ของเครื่องปลายทาง โดยที่เครื่องปลายทาง (Destination hostt) จะใช้ Port นี้ในการส่งข้อมูลให้ไหลกับ Application ได้ถูกต้อง หน้าที่ในการส่งหรือแจกจ่าย Segment ของข้อมูลให้ตรงกับ Application เรียกว่าการ "Demultiplexing" ในทางกลับกันเครื่องต้นทาง (Source host) หน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลจาก Application และเพิ่ม header เพื่อสร้าง segment เรียกว่า "Multiplexing" หรือถ้ายกตัวอย่างเป็นภาษาทั่วๆ ไป คือ ในแต่ละบ้านจะมีคน 1 คนรับผิดชอบเก็บจดหมายจากกล่องจดหมาย ถ้าเป็นการ Demultiplexing คนๆ นั้นจะแจกจ่ายจดหมายที่จ่าหน้าซองให้สอดคล้องกับบุคคลนั้นๆ ในบ้าน ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นการ Multiplexing คนๆ นั้นก็จะรวบรวมจดหมายจากสมาชิกในบ้านและทำหน้าที่ส่งออกไป Demultiplexing ตามหมายเลข Port จะอยู่ใน 32 bit แรกของ TCP และ UDP header โดยที่ 16 bit แรกเป็นหมายเลข Port ของเครื่องต้นทาง ขณะที่ 16 bit ต่อมาเป็นหมายเลข Port ของ เครื่องปลายทางTCP หรือ UDP จะดูที่ข้อมูลหมายเลข Port ใน header เพื่อพิจารณาว่า Application ใดที่ต้องการข้อมูลนั้นๆ หมายเลข Port ทั้งต้นทางและปลายทางจำเป็นต้องมีเพื่อให้ เครื่องปลายทางมีความสามารถที่จะรัน process มากกว่า 1 process ในเวลาเดียวกันตามที่ได้กล่าวในข้างต้น "Well know Ports" เป็น Port ที่ค่อนข้างมาตรฐาน ทำให้เครื่องที่อยู่ไกลออกไป (Remote Computer) สามารถรู้ได้ว่าจะติดต่อกับทาง Port หมายเลขอะไรสำหรับ Service เฉพาะนั้นๆ อย่างไรก็ตามยังมี Port อีกประเภทที่เรียกว่า Dynamically Allocated Port ซึ่ง Port ประเภทนี้ไม่ได้ถูก assign ไว้แต่เดิม แต่จะถูก assign เมื่อจำเป็น Port ประเภทนี้ให้ความสะดวกและความคล่องตัวสำหรับระบบที่มีผู้ใช้หลายๆคนพร้อมๆคน ระบบจะต้องให้ความมั่นใจว่าจะไม่ assign หมายเลข Port ซ้ำกันยกตัวอย่าง สมมติว่ามีผู้ใช้ต้องการใช้ Service Telnet ทางเครื่องต้นทางจะทำการ assign ให้ หมายเลข Dynamic Port (เช่น 3044) โดยที่หมายเลข Port ปลายทางคือ 23 เครื่องจะ assign หมายเลข Port ปลายทางเป็น23 เพราะว่า เป็น Well Known Port สำหรับ Service Telnet จากนั้นเครื่องปลายทางจะทำการตอบรับกลับโดยใช้ Port หมายเลข 23 เป็นหมายเลขต้นทาง และ หมายเลข Port 3044 เป็นหมายเลข ปลายทางกลุ่มของหมายเลข Port และ หมายเลข IP เราเรียกว่า Socket ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับ Network process หนึ่งเดียวที่มีอยู่ในทั้งระบบ Internet คู่ของ Socket ที่ประกอบด้วย Socket หนึ่งตัว สำหรับต้นทาง และอีกตัว สำหรับปลายทาง สามารถใช้บรรยายถึงคุณลักษณะของ Connection oriented protocols ถ้าผู้ใช้คนที่ 2 ต้องการใช้ Service Telnet จากเครื่องปลายทางเครื่องเดียวกัน ผู้ใช้นั้นก็จะได้รับการ assign หมายเลข Port ต้นทางที่แตกต่างกันออกไป โดยมีหมายเลข Port ปลายทางเหมือนกันกับผู้ใช้คนแรกดังรูปที่ 4 จะเห็นได้ว่าการจับคู่ของหมายเลข Port และหมายเลข IP ทั้งต้นทางและปลายทางสามารถทำให้แยกความแตกต่างของ Internet connection ระหว่างเครื่องต้นทางและเครื่องปลายทางได้Active และ Passive Portsสิ่งสุดท้ายที่จะต้องกล่าวถึงเกี่ยวกับ Port ก็คือ ความแตกต่างระหว่าง Active และ Passive Portในการใช้การติดต่อด้วย TCP สามารถกระทำได้ 2 วิธีคือ Passive และ Active Connection Passive connection คือ การติดต่อที่ Application process สั่งให้ TCP รอหมายเลข Port สำหรับการร้องขอการติดต่อจาก Source Host เมื่อ TCP ได้รับการร้องขอแล้วจึงทำการเลือกหมายเลข Port ให้ แต่ถ้าเป็นแบบ Active TCP ก็จะให้ Application process เป็นฝ่ายเลือกหมายเลข Port ให้เลย

ตัวอย่างโปรโตคอลในลำดับชั้นแอปพลิเคชั่น (Well - Known Prots)
Port number.....Service ...................Description
20 ........FTP(Data) .....File Transfer Protocol and Data Used for transferring files
21..FTP (Control) ..File Transfer Protocol and Control Used for transferring files
23..................TELNET ........... used to gain “remote control” over another Machine on the network
25..................SMTP .............Simple Mail Transfer Protocol, used for transferring e-mail between e-mail servers
69..................TFTP..............Trivial File Transfer Protocol, used for transferring Files without a secure login
80..............HTTP(World Wide Web) .....HyperText Transfer Protocol, use for transferring HTML (Web Pages)
110..POP3.Post Office Protocol, version3, used for transfening e-mail form and e-mail server to and e-mail client
119 ........NNTP ........Network News Transfer Protocol, used to transfer Usenet news group messages from a news server To a news reader program
137................... NETBIOS-NS ................Net BIOS Name Service, Used by Misrosoft Networking
138.................NETBIOS-DG.............NetBIOS Datagram Service,sed for transporting data by Microsoft Networking
139.........NETBIOS-SS....NetBIOS session Service,used by Microsoft Networking
161............SNMP..........Simple Network Management Protocol, used to monitor network devices remotely
443...............HTTPS .......................HyperText Transfe-Protocol, Secure

Well Know port (Datacom)

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ Portสำหรับพวก Application ในชั้น layer สูงๆ ที่ใช้ TCP (Transmission Control Protocol) หรือ UDP (User Datagram Protocol) จะมีหมายเลข Port หมายเลขของ Port จะเป็นเลข 16 bit เริ่มตั้งแต่ 0 ถึง 65535 หมายเลข Port ใช้สำหรับตัดสินว่า service ใดที่ต้องการเรียกใช้ ในทางทฤษฎี หมายเลข Port แต่ละหมายเลขถูกเลือกสำหรับ service ใดๆ ขึ้นอยู่กับ OS (operating system) ที่ใช้ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่ได้มีกำหนดขึ้นให้ใช้ค่อนข้างเป็นมาตรฐานเพื่อให้มีการติดต่อการส่งข้อมูลที่ดีขึ้น ทาง Internet Assigned Numbers Authority (IANA) เป็นหน่วยงานกลางในการประสานการเลือกใช้ Port ว่า Port หมายเลขใดควรเหมาะสำหรับ Service ใด และได้กำหนดใน Request For Comments (RFC') 1700 ตัวอย่างเช่น เลือกใช้ TCP Port หมายเลข 23 กับ Service Telnet และเลือกใช้ UDP Port หมายเลข 69 สำหรับ Service Trivial File transfer Protocol (TFTP) ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นบางส่วนของ File/etc/services แสดงให้เห็นว่า หมายเลข Port แต่ละหมายเลขได้ถูกจับคู่กับ Transport Protocol หนึ่งหรือสอง Protocol ซึ่งหมายความว่า UPP หรือ TCP อาจจะใช้ หมายเลข Port เดียวกันก็ได้ เนื่องจากเป็น Protocol ที่ต่างกันหมายเลข Port ถูกจัดแบ่งเป็น 2 ประเภท ตามที่ได้กำหนดใน RFC' 1700 คือ well known Ports และ Registered Ports- Well Known Ports คือจะเป็น Port ที่ระบบส่วนใหญ่ กำหนดให้ใช้โดย Privileged User (ผู้ใช้ที่มีสิทธิพิเศษ) โดย port เหล่านี้ ใช้สำหรับการติดต่อระหว่างเครื่องที่มีระบบเวลาที่ยาวนาน วัตถุประสงค์เพื่อให้ service แก่ผู้ใช้ (ที่ไม่รู้จักหรือคุ้นเคย) แปลกหน้า จึงจำเป็นต้องกำหนด Port ติดต่อสำหรับ Service นั้นๆ- Registered Ports จะเป็น Port หมายเลข 1024 ขึ้นไป ซึ่ง IANA ไม่ได้กำหนดไว้ตัวอย่างการใช้ Portแต่ละ Transport layer segment จะมีส่วนย่อยที่ประกอบไปด้วยหมายเลข Port ของเครื่องปลายทาง โดยที่เครื่องปลายทาง (Destination hostt) จะใช้ Port นี้ในการส่งข้อมูลให้ไหลกับ Application ได้ถูกต้อง หน้าที่ในการส่งหรือแจกจ่าย Segment ของข้อมูลให้ตรงกับ Application เรียกว่าการ "Demultiplexing" ในทางกลับกันเครื่องต้นทาง (Source host) หน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลจาก Application และเพิ่ม header เพื่อสร้าง segment เรียกว่า "Multiplexing" หรือถ้ายกตัวอย่างเป็นภาษาทั่วๆ ไป คือ ในแต่ละบ้านจะมีคน 1 คนรับผิดชอบเก็บจดหมายจากกล่องจดหมาย ถ้าเป็นการ Demultiplexing คนๆ นั้นจะแจกจ่ายจดหมายที่จ่าหน้าซองให้สอดคล้องกับบุคคลนั้นๆ ในบ้าน ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นการ Multiplexing คนๆ นั้นก็จะรวบรวมจดหมายจากสมาชิกในบ้านและทำหน้าที่ส่งออกไป Demultiplexing ตามหมายเลข Port จะอยู่ใน 32 bit แรกของ TCP และ UDP header โดยที่ 16 bit แรกเป็นหมายเลข Port ของเครื่องต้นทาง ขณะที่ 16 bit ต่อมาเป็นหมายเลข Port ของ เครื่องปลายทางTCP หรือ UDP จะดูที่ข้อมูลหมายเลข Port ใน header เพื่อพิจารณาว่า Application ใดที่ต้องการข้อมูลนั้นๆ หมายเลข Port ทั้งต้นทางและปลายทางจำเป็นต้องมีเพื่อให้ เครื่องปลายทางมีความสามารถที่จะรัน process มากกว่า 1 process ในเวลาเดียวกันตามที่ได้กล่าวในข้างต้น "Well know Ports" เป็น Port ที่ค่อนข้างมาตรฐาน ทำให้เครื่องที่อยู่ไกลออกไป (Remote Computer) สามารถรู้ได้ว่าจะติดต่อกับทาง Port หมายเลขอะไรสำหรับ Service เฉพาะนั้นๆ อย่างไรก็ตามยังมี Port อีกประเภทที่เรียกว่า Dynamically Allocated Port ซึ่ง Port ประเภทนี้ไม่ได้ถูก assign ไว้แต่เดิม แต่จะถูก assign เมื่อจำเป็น Port ประเภทนี้ให้ความสะดวกและความคล่องตัวสำหรับระบบที่มีผู้ใช้หลายๆคนพร้อมๆคน ระบบจะต้องให้ความมั่นใจว่าจะไม่ assign หมายเลข Port ซ้ำกันยกตัวอย่าง สมมติว่ามีผู้ใช้ต้องการใช้ Service Telnet ทางเครื่องต้นทางจะทำการ assign ให้ หมายเลข Dynamic Port (เช่น 3044) โดยที่หมายเลข Port ปลายทางคือ 23 เครื่องจะ assign หมายเลข Port ปลายทางเป็น23 เพราะว่า เป็น Well Known Port สำหรับ Service Telnet จากนั้นเครื่องปลายทางจะทำการตอบรับกลับโดยใช้ Port หมายเลข 23 เป็นหมายเลขต้นทาง และ หมายเลข Port 3044 เป็นหมายเลข ปลายทางกลุ่มของหมายเลข Port และ หมายเลข IP เราเรียกว่า Socket ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับ Network process หนึ่งเดียวที่มีอยู่ในทั้งระบบ Internet คู่ของ Socket ที่ประกอบด้วย Socket หนึ่งตัว สำหรับต้นทาง และอีกตัว สำหรับปลายทาง สามารถใช้บรรยายถึงคุณลักษณะของ Connection oriented protocols ถ้าผู้ใช้คนที่ 2 ต้องการใช้ Service Telnet จากเครื่องปลายทางเครื่องเดียวกัน ผู้ใช้นั้นก็จะได้รับการ assign หมายเลข Port ต้นทางที่แตกต่างกันออกไป โดยมีหมายเลข Port ปลายทางเหมือนกันกับผู้ใช้คนแรกดังรูปที่ 4 จะเห็นได้ว่าการจับคู่ของหมายเลข Port และหมายเลข IP ทั้งต้นทางและปลายทางสามารถทำให้แยกความแตกต่างของ Internet connection ระหว่างเครื่องต้นทางและเครื่องปลายทางได้Active และ Passive Portsสิ่งสุดท้ายที่จะต้องกล่าวถึงเกี่ยวกับ Port ก็คือ ความแตกต่างระหว่าง Active และ Passive Portในการใช้การติดต่อด้วย TCP สามารถกระทำได้ 2 วิธีคือ Passive และ Active Connection Passive connection คือ การติดต่อที่ Application process สั่งให้ TCP รอหมายเลข Port สำหรับการร้องขอการติดต่อจาก Source Host เมื่อ TCP ได้รับการร้องขอแล้วจึงทำการเลือกหมายเลข Port ให้ แต่ถ้าเป็นแบบ Active TCP ก็จะให้ Application process เป็นฝ่ายเลือกหมายเลข Port ให้เลย
ตัวอย่างโปรโตคอลในลำดับชั้นแอปพลิเคชั่น (Well - Known Prots)
Port number.....Service ...................Description
20 ........FTP(Data) .....File Transfer Protocol and Data Used for transferring files
21..FTP (Control) ..File Transfer Protocol and Control Used for transferring files
23..................TELNET ........... used to gain “remote control” over another Machine on the network
25..................SMTP .............Simple Mail Transfer Protocol, used for transferring e-mail between e-mail servers
69..................TFTP..............Trivial File Transfer Protocol, used for transferring Files without a secure login
80..............HTTP(World Wide Web) .....HyperText Transfer Protocol, use for transferring HTML (Web Pages)
110..POP3.Post Office Protocol, version3, used for transfening e-mail form and e-mail server to and e-mail client
119 ........NNTP ........Network News Transfer Protocol, used to transfer Usenet news group messages from a news server To a news reader program
137................... NETBIOS-NS ................Net BIOS Name Service, Used by Misrosoft Networking
138.................NETBIOS-DG.............NetBIOS Datagram Service,sed for transporting data by Microsoft Networking
139.........NETBIOS-SS....NetBIOS session Service,used by Microsoft Networking
161............SNMP..........Simple Network Management Protocol, used to monitor network devices remotely
443...............HTTPS .......................HyperText Transfe-Protocol, Secure
/26.........255.255.255.192..........2^2=4...............และ 2^6=64
11111111.11111111.11111111.11000000

บิต...เลขฐานสอง......Network ID...Broadcast...IPUsage
0......00000000.........0................63..............1-62
1......00000001.........64.............127...........65-126
2......00000010........128............191..........129-190
3......00000011.........192...........255..........193254

...........................................................................................


/27.......255.255.255.224........2^3=8..........และ 2^5=32
11111111.11111111.11111111.11100000

บิต.....เลขฐานสอง......Network ID.....Broadcast......IP Usage
0........00000000..............0.............31....................1-30
1.........00000001.............32............63...................33-62
2.........00000010.............64............95...................65-94
3.........00000011.............96...........127..................97-126
4.........00000100............128..........159...............129-158
5.........00000101.............160.........191................161-190
6.........00000110.............192.........223................193-222
7..........00000111.............224.........256...............225255

...........................................................................................

/28.........255.255.255.240 = 2^4 =16 และ 2^4=16
11111111.11111111.11111111.11110000

บิต...เลขฐานสอง ....Network ID......broad cast....IP Usage
0....00000000.........0...........................15...............1-14
1....00000001........16..........................31.............17-30
2....00000010........32.........................63.............33-62
3....00000011.........64..........................79.............65-78
4....00000100.......80..........................95.............81-94
5....00000101.........96........................127.............97-126
6....00000110........128.......................159...........129-158
7....00000111........160.......................191...........160-190
8....00001000.......192.......................207...........193-206
9....00001001.......208.......................223...........209-222
10..00001010.......224.......................239...........225-238
11..00001011........240.......................255...........241-254
12..00001100.......256........................271...........257-270
13..00001101........272........................287..........273-286
14...00001110.......288........................303.........289-302
15...00001111........304........................319..........305318


................................................................................................

/29.......255.255.255.248=2^5=32และ 2^3=8
11111111.11111111.11111111.11111000

บิต....เลขฐานสอง......Network ID........Brodcast....IP Usage
0.....00000000.........0........................7..................1 -6
1.....00000001.........8.......................15.................9-14
2.....00000010.........16.....................23.................17-22
3.....00000011.........24.....................31.................25-30
4.....00000100.........32.....................39.................33-38
5.....00000101.........40.....................47.................41-46
6.....00000110.........48.....................55.................49-54
7.....00000111.........56.....................63.................57-62
8.....00001000.........64.....................71.................65-70
9.....00001001.........72.....................79.................73-78
10...00001010.........80.....................87................. 81-86
11...00001011.........88.....................95.................89-94
12...00001100.........96.....................103...............97-102
13...00001101........104....................111...............105-110
14...00001110........112....................119...............113-118
15...00001111........120....................127...............121-126
16...00010000........128....................135...............129-134
17...00010001........136....................143...............137-142
18...00010010........144....................151...............145-150
19...00010011........152....................159...............153-158
20...00010100........160....................167...............161-166
21...00010101........168....................175...............169-174
22...00010110........176....................183...............177-182
23...00010111........184....................191...............185-190
24...00011000........192....................199...............193-198
25...00011001........200....................207...............201-206
26...00011010........208....................215...............209-214
27...00011011........216....................223...............217-222
28...00011100........224....................231...............225-230
29...00011101........232....................239...............233-240
30...00011110........240....................247...............241-248
31...00011111........248....................255...............249256

................................................................................................

/30.......255.255.255.252=2^6=64 และ 2^2=4
11111111.11111111.11111111.11111100

บิต....เลขฐานสอง........Network ID........Broadcast....IP Usage
0......00000000...............0............................3................12
1.......00000001...............4............................7................5-6
2.......00000010...............8...........................11...............9-10
3.......00000011..............12..........................15...............13-14
4.......00000100..............16.........................19...............17-18
5.......00000101...............20........................23...............21-22
6.......00000110...............24........................27...............25-26
7.......00000111................28........................31...............29-30
8......00001000................32........................35...............33-34
9......00001001.................36.......................39................37-38
10....00001010.................40.......................43................41-42
11....00001011..................44.......................47.................45-46
12....00001100.................48.......................51.................49-50
13....00001101..................52.......................55.................53-54
14....00001110..................56.......................59..................57-58
15....00001111..................60.......................63..................61-62
16....00010000................64.......................67...................65-66
17....00010001.................68.......................71...................69-70
18....00010010.................72.......................75...................73-74
19....00010011.................76.......................79....................77-78
20...00010100.................80......................83....................81-82
21....00010101.................84......................87....................85-86
22....00010110................88.......................91....................89-90
23....00010111.................92......................95....................93-94
24....00011000................96......................99....................97-98
25....00011001...............100....................103.................101-102
26....00011010...............104....................107.................105-106
27....00011011................108....................111.................109-110
28....00011100...............112.....................115.................113-114
29....00011101...............116......................119.................117-118
30....00011110...............120.....................123.................121-122
31.....00011111...............124.....................127..................125-126
32....00100000..............128.....................131..................129-130
33....00100001...............132....................135..................133-134
34....00100010...............136....................139..................137-138
35....00100011................140...................143..................141-142
36....00100100...............144....................147..................145-146
37....00100101................148....................151..................149-150
38....00100110................152....................155..................153-154
39....00100111................156....................159...................157-158
40....00101000..............160....................163...................161-162
41....00101001...............164....................167...................165-166
42....00101010...............168....................171...................169-170
43....00101011................172....................175...................173-174
44....00101100................176...................179...................177-178
45....00101101................180...................183...................181-182
46....00101110................184...................187...................185-186
47....00101111................188...................191....................189-190
48....00110000..............192...................195....................193-194
49....00110001..............196...................199.....................197-198
50....00110010.............200...................203....................201-202
51.....00110011.............204...................207....................205-206
52.....00110100............208....................211....................209-210
53.....00110101.............212....................215....................213-214
54.....00110110.............216....................219....................217-218
55.....00110111.............220....................223....................221-222
56.....00111000............224....................227....................225-226
57.....00111001.............228....................231....................229-230
58.....00111010.............232....................235...................233-234
59.....00111011.............236....................239....................237-238
60.....00111100.............240....................243...................241-242
61......00111101.............244....................247...................245-246
62......00111110.............248....................251...................249-250
63......00111111..............252...................255...................253254

....................................................................................................................

ข้อสอบ บทที่ 7 (Dataocmm)

แบบข้อสอบบทที่ 7 การบริหารเครือข่ายและการตรวจซ่อมระบบวิชา ระบบการสื่อสารข้อมูล (4123702)1. ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อในระดับชั้น Physical ได้แก่ข้อใด
ก. ปัญหาจาก LAN Card บกพร่อง
ข. ปัญหา Connector ชำรุด.
ค. ปัญหา Hub ไม่ทำงาน
ง. ปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์ Transceiver

2. ข้อใดเป็นปัญหาการเชื่อมต่อในระดับชั้น Network
ก. ปัญหาไอพีแอดเดรส ชนกัน
ข. ปัญหาเกี่ยวกับ Routing
ค. ปัญหาเกี่ยวกับ Ethernet Interface อื่น ๆ
ง. ข้อ ก และ ข ถูก.

3. ปัญหาในระดับชั้นใดเป็นปัญหาระหว่าง Client กับ Server
ก. Transport
ข. Network
ค. Session.
ง. Application

4. ปัญหาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเครือข่ายได้แก่ข้อใด
ก. การตอบสนองของเครือข่ายช้ามาก
ข. การให้บริการของ Server บนเครือข่ายช้ามาก
ค. การเชื่อมต่อสื่อสารผ่าน WAN ช้ามาก
ง. ถูกทุกข้อ.

5. การให้บริการของ Server ช้ามากเกิดจากสาเหตุใด
ก. เซิร์ฟเวอร์เกิดปัญหาคอขวด
ข. ปัญหาเกี่ยวกับการทำ Encapsulation ของ Frame ที่ไม่สมบูรณ์
ค. หน่วยความจำของเครื่อง Server มีไม่เพียงพอ.
ง. การจัด Configuration ของ Driver เกี่ยวกับ LAN Card ไม่ถูกต้อง

6. Database Server จัดอยู่ใน Server ประเภทใด
ก. Department Server
ข. Enterprise Server.
ค. Super Server
ง. Network Server

7. เครื่อง Server ประจำองค์กรหลายตัวที่ใช้ทรัพยากรร่วมกันได้แก่ Server ประเภทใด
ก. Network Server
ข. Super Server.
ค. Enterprise Server
ง. Web Application Server

8. ข้อใดเป็นการแก้ปัญหาคอขวดเบื้องต้นของเครื่อง Server
ก. หลีกเลี่ยงการพ่วง Hub หลายตัวเพื่อติดต่อกับ Server ตัวเดียว
ข. เปอร์เซนต์การใช้งานซีพียูบนเครื่อง Server ต้องมีไม่เกิน 70%
ค. ค่าเฉลี่ยของคิวที่ผู้ใช้งานต้องไม่ยาวหรือค้างนานเกินไป
ง. ถูกทุกข้อ.

9. Mode การทำงานของ Switching Hub ใด ที่อ่านข้อมูลไม่ครบทุกไบต์
ก. Store and Forward
ข. Cut Through
ค. Fragment Free.
ง. ไม่มีข้อใดถูก

10. ระบบเครือข่ายจะมี Broadcast เป็นองค์ประกอบแต่การมี Broadcast จะมีผลเสียคือข้อใด
ก. การสูญเสียพื้นที่
ข. Broadcast ไม่สามารถรู้เบอร์ MAC Address ระหว่างกันได้
ค. การสูญเสีย Bandwidth ที่ไม่มีความจำเป็น.
ง. Broadcast ไม่สามารถสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์บนเครือข่ายที่ไม่รู้จักกันได้

ข้อสอบ บทที่ 6 (Dataocmm)

แบบข้อสอบบทที่ 6 การออกแบบระบบเครือข่าย และ การจัดการระบบวิชา ระบบการสื่อสารข้อมูล (4123702)
1. การแบ่งเครือข่ายออกเป็นส่วน ๆ (Segmentation) จะใช้อุปกรณ์ชนิดใด
ก. Switch
ข. Hubค. Bridge.
ง. Card

2. MAC Address มีขนาดกี่บิต
ก. 18 บิต
ข. 24 บิต
ค. 36 บิต
ง. 48 บิต.

3. ระบบปฏิบัติการ UNIX ใช้โปรโตคอลสื่อสารชนิดใดเพื่อติดต่อกันบนเครือข่าย
ก. IPX/SPX
ข. NetBIOS
ค. NETBUEI
ง. TCP/IP.

4. Bridge จะอาศัยการสื่อสารของโปรโตคอลต่างๆ เพื่อการจัดสร้างและ updateตาราง SAT เป็นระยะและสม่ำเสมอ เรียกกระบวนการนี้ว่าอะไร
ก. Self-Learning.
ข. Flooding
ค. Filteing
ง. Forwarding

5. ข้อใดเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของ Switches
ก. Input Controller
ข. Output Controller
ค. Control Process
ง. ถูกทุกข้อ.

6. ชิ้นงานใดต่อไปนี้ ไม่อยู่ใน Control Process
ก. Transmission Process
ข. Flow Control Process
ค. Switching Process.
ง. Learning Process

7. Wire Speed หมายถึงข้อใด
ก. ระยะทางไกลสุดในการส่งสายสัญญาณ
ข. อัตราความเร็วสูงสุดของการรับ Frame ของข้อมูล
ค. อัตราความเร็วสูงสุดของการส่ง Frame ของข้อมูล
ง. อัตราความเร็วสูงสุดของการรับส่ง Frame ของข้อมูล.

8. Layer-2 Switching Hub มีหลักการทำงานเหมือนอุปกรณ์ชนิดใด
ก. Router
ข. Bridge.
ค. Hub
ง. Switch

9. Layer-4 Switching ของ OSI Model จัดอยู่ในระดับชั้นใด
ก. Physical
ข. Application
ค. Transport.
ง. Data Link

10. การเชื่อมต่อแบบ Full Duplex มีผลดีอย่างไร
ก. มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลมากขึ้น.
ข. จำนวนข้อมูลที่ส่งออกไปถึงจุดหมายแน่นอนและครบถ้วน
ค. อัตราการหน่วงลดน้อยลง
ง. อัตราการหน่วงเพิ่มมากขึ้น

ข้อสอบ บทที่ 5 (Dataocmm)

แบบข้อสอบบทที่ 5 TCP/IP หัวใจของการสื่อสารวิชา ระบบการสื่อสารข้อมูล (4123702)
1. ส่วนประกอบสำคัญของอินเทอร์เน็ตโพรโตคอล คือข้อใด
ก. IP Address.
ข. Network
ค. Host
ง. Application

2. หน่วยงานที่กำกับดูแล IP Address ในประเทศไทยคือใคร
ก. dopa.net
ข. thnic.net.
ค. NAT
ง. IETF

3. อินเทอร์เน็ตโพรโตคอลรุ่นใหม่ล่าสุดคืออะไร
ก. IPV4
ข. IPV5
ค. IPV6.
ง. IPV7

4. Internet Protocol version 6 (IPV6) กำหนด IP Address กี่บิต
ก. 16 บิต
ข. 32 บิต
ค. 64 บิต
ง. 128 บิต.

5. ข้อใดเป็นตัวอย่างของการถูกออกแบบมาให้ IPV6 สามารถทำงานในเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพต่ำได้
ก. Gigabit Ethernet
ข. Wireless network.
ค. OC-12
ง. ATM

6. อินเทอร์เน็ตโพรโตคอลรุ่นที่ 6 ถูกพัฒนาขึ้นโดยใคร
ก. IPAE
ข. SIP
ค. TUBA
ง. IETF.

7. ด้วยความสามารถของ IPV6 สามารถนำมาใช้ในระบบปฏิบัติการต่าง ๆ ยกเว้นข้อใด
ก. Sun Solaris
ข. Linux
ค. Windows 2000
ง. Dos.

8. ข้อต่อไปนี้ข้อใดเป็นตำแหน่งที่เพิ่มขึ้นในส่วนของ Header ของ IPV6
ก. Header Checksum
ข. Protocol
ค. Flow Label.
ง. Time-To-Live

9. IPV6 ใช้เครื่องหมายใดเป็นตัวคั่นระหว่างเลขฐานสิบหกที่ถูกแบ่งข้อมูลออกเป็น 8 ชุด ๆ ละ 16 บิต
ก. “.”
ข. “:” .
ค. “;”
ง. “_”

10. เนื่องจาก IPV6 ไม่สามารถกรองหรือ บล็อกการจราจรได้ ดังนั้นมีวิธีใดบ้างที่จะป้องกันการดักข้อมูลของเครือข่ายอื่นได้
ก. ใช้ซอฟต์แวร์ไฟล์วอลล์มาป้องกัน.
ข. ไม่ให้มีบุคคลแปลกปลอมเข้ามาใช้เครือข่ายภายใน
ค. ตรวจเช็คดูว่าไม่มีเครื่องผู้อื่นเข้ามาในเครือข่ายกายภาพ
ง. ตรวจเช็คให้แน่ใจว่า IPV6 ไม่เป็นการติดต่อระหว่างเครื่องที่มีการข้าม Router

ข้อสอบ บทที่ 4 (Dataocmm)

แบบข้อสอบบทที่ 4 เครือข่ายอีเทอร์เน็ต หรือ IEEE 802.3วิชา ระบบการสื่อสารข้อมูล (4123702)
1. Ethernet พัฒนาขึ้นโดยใคร
ก. Fuji
ข. Xerox.
ค. Exrox
ง. Carrier

2. Ethernet ใช้เครือข่ายที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของมาตรฐานใด
ก. EIA
ข. CCITT
ค. IEE
ง. IEE 802.3.

3. รูปแบบการเชื่อมต่อบนอีเทอร์เน็ตแลนแบบใด ที่ทนทานต่อการถูกรบกวนได้เป็นอย่างดี
ก. 10 Base 5
ข. 10 Base 2
ค. 10 Base –T
ง. 10 Base –F.

4. รูปแบบการเชื่อมต่อ 10 Base –T : 10 ในที่นี้หมายถึงอะไร
ก. อัตราความเร็วในการส่งข้อมูลเท่ากับ 10 Mbps.
ข. อัตราความเร่งในการส่งข้อมูลเท่ากับ 10 Mbps
ค. ระยะเวลาที่ใช้ในการรอส่งข้อมูลเท่ากับ 10 วินาที
ง. ระยะทางในการส่งข้อมูลเท่ากับ 10 Mbps

5. Fast Ethernet ใช้โทโปโลยีแบบใด
ก. Star.
ข. Ring
ค. Bus
ง. CAT

6. สายสัญญาณ UTP ชนิดใดเหมาะที่สุดสำหรับ Fast Ethernet
ก. CAT2
ข. CAT3
ค. CAT5
ง. CAT5e.

7. มาตรฐานใดต่อไปนี้ ที่ไม่สามารถรองรับการทำงานที่ 100 Mbps ได้
ก. 100 Base-TX
ข. 100 Base-FX
ค. 10 Base-T.
ง. 100 Base-T4

8. มาตรฐานแบบ 100 Base-TX มีความถี่ทางไฟฟ้าเท่าใด
ก. 20 MHZ
ข. 100 MHZ
ค. 125 MHZ.
ง. 150 MHZ

9. มาตรฐานแบบ 100 Base-T2 ใช้วิธีการเข้ารหัสแบบใด
ก. PAM5x5.
ข. 8B/6T
ค. 4B/5B
ง. Manchester

10. Gigabit Ethernet ถูกออกแบบขึ้นมาให้เป็นไปตามมาตรฐานใด
ก. IEEE 802
ข. IEEE 802.3
ค. IEEE 802.5
ง. IEEE 802.3z.

ข้อสอบ บทที่ 3 (Dataocmm)

แบบข้อสอบบทที่ 3 อุปกรณ์เครือข่าย และ สื่อนำสัญญาณวิชา ระบบการสื่อสารข้อมูล (4123702)
1. อุปกรณ์ที่ใช้ในการรวมข้อมูลจากเครื่องเทอร์มินัลเข้าด้วยกัน เรียกว่าอะไร
ก. Mux.
ข. Repeater
ค. Bridge
ง. Switch

2. ข้อใดเป็นคุณสมบัติเด่นของคอนเซนเตรเตอร์
ก. มีหน่วยความจำ
ข. มีการบับอัดข้อมูล
ค. ถูกทั้งสองข้อ.
ง. ผิดทั้งสองข้อ

3. Hub เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้ในระบบเครือข่าย ที่ใช้โทโปโลยีแบบใด
ก. Star.
ข. Ring
ค. Bus
ง. CSMA/CD

4. ข้อใดเป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่าย
ก. Repeater
ข. Bridge
ค. Switch
ง. ถูกทุกข้อ.

5. Repeater เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับใด ใน OSI Model
ก. Applicationข. Transport
ค. Physical.
ง. Net work

6. ข้อใดเป็นหน้าที่ของ Bridge
ก. กรองสัญญาณ และส่งผ่านแพ็กเกจข้อมูลไปยังส่วนต่าง ๆ.
ข. เชื่อมต่อสัญญาณให้กับเครือข่ายให้ไกลออกไปได้กว่าปกติ
ค. เชื่อมต่อเครือข่ายหลาย ๆ เครือข่ายเข้าด้วยกัน
ง. หาเส้นทางการส่งข้อมูลที่เหมาะสมให้โดยอัตโนมัติ

7. สายสัญญาณที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้แก่ข้อใด
ก. สายโคแอ็กช์เชียล
ข. สายคู่บิดเกลียว
ค. สายใยแก้วนำแสง
ง. ถูกทุกข้อ.

8. สายโคแอ็กซ์ แบบหนาสามารถนำสัญญาณได้ไกลด้วยระยะทางเท่าใด
ก. 300 เมตร
ข. 400 เมตร
ค. 500 เมตร.
ง. 600 เมตร

9. ในการใช้สายคู่บิดเกลียว UTP เป็นที่นิยมในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน แต่มีข้อแม้ว่าในการใช้สายนั้นต้องมีความยาวไม่เกินเท่าใด
ก. 50 เมตร
ข. 80 เมตร
ค. 100 เมตร.
ง. 200 เมตร

10. สายใยแก้วนำแสงมี ตัวกลางที่ใช้สำหรับการส่งสัญญาณแสง คืออะไร
ก. Fiber Optic.
ข. Fiber Glass
ค. Fiber scope
ง. Cladding

ข้อสอบ บทที่ 2 (Dataocmm)

แบบข้อสอบบทที่ 2 โปรโตคอลมาตรฐาน และรูปแบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์วิชา ระบบการสื่อสารข้อมูล (4123702)
1. ข้อต่อไปนี้เป็นองค์กรสำหรับพัฒนาและควบคุมมาตรฐานสากล ยกเว้นข้อใด
ก. ISO
ข. OSI.
ค. IEEE
ง. EIA

2. มาตรฐานสากลใดที่ใช้สำหรับวงจรโทรศัพท์ และโมเด็ม
ก. ISO
ข. CCITT.
ค. ANSI
ง. IEEE

3. มาตรฐาน V และ X เป็นมาตรฐานที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยองค์กรสากลใด
ก. CCITT.
ข. ISO
ค. IEEE
ง. EIA

4. หน่วยงานที่กำหนดมาตรฐาน ISO คือหน่วยงานใด
ก. ISO
ข. OSI.
ค. IEEE
ง. ANSI

5. มาตรฐานในการสื่อสารข้อมูล (OSI) มีระดับชั้นของการสื่อสารข้อมูลกี่ชั้น
ก. 4
ข. 5
ค. 6
ง. 7.

6. Layer ใดที่ทำหน้าที่อำนวยการ การส่งข้อมูลเข้าระดับเครือข่ายสื่อสารโดยปราศจากข้อผิดพลาด
ก. Physical Layer
ข. Data Link Layer.
ค. Network Layer
ง. Transport Layer

7. Layer ใดที่ทำหน้าที่แปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปของแอสกี
ก. Application Layer
ข. Presentation Layer.
ค. Session Layer
ง. Transport Layer

8. ระดับชั้นใดที่แบ่งการทำงานเป็น 2 ชั้นย่อย คือ LIC และ MAC
ก. Physical
ข. Data Link.
ค. Network
ง. Transport

9. กลุ่มของ TCP/IP กลุ่มใดมีหน้าที่พิจารณาเส้นทางที่ดีที่สุดที่ใช้ส่งข้อมูล
ก. Transport Protocol
ข. Transmission Control Protocol
ค. User Datagram Protocol
ง. Routing Protocol.

10. Protocol ใด ที่ให้บริการแบบ Connection Service
ก. TCP
ข. UDP.
ค. IP
ง. RIP

11. Protocol ชนิดใดเปรียบเสมือนการส่งไปรษณีย์
ก. TCP
ข. UDP.
ค. IP
ง. RIP

12. ข้อใดไม่ใช่รูปแบบของโทโปโลยี
ก. Star
ข. Bus
ค. Broadcast.
ง. Ring

13. โทโปโลยีแบบ Star มีสถานีศูนย์กลางทำหน้าที่เป็นตัวสวิตชิ่ง เรียกว่าอะไร
ก. HUB.
ข. NTU
ค. ROUTER
ง. ไม่มีข้อใดถูก

4. ที่ปลายทั้งสองด้านของบัส มีเทอร์มิเนเตอร์ มีหน้าที่อะไร
ก. ตรวจสอบข้อมูลที่จะเข้าสู่บัส
ข. ตรวจสอบสัญญาณข้อมูลจากโหนดผู้ส่ง
ค. ดูดกลืนสัญญาณ.
ง. ควบคุมดูแลการทำงานของโหนด

15. โปรโตคอลชนิดใดที่ใช้กับช่องทางสื่อสารแบบสล็อต
ก. 1-persistant CSMA/CD
ข. Non-persistant CSMA/CD
ค. p-persistant CSMA/CD.
ง. CSMA/CA